วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำประปาดื่มได้

น้ำประปาดื่มได้... แต่ทำไมไม่กล้าดื่มอ่ะ!!

                     
                                มื่อตอนที่เจ้าของกระทู้ยังเรียนอยู่ประถม(โอ้ยย นานมาก) สโลแกน "น้ำประปาดื่มได้" ก็เริ่มผุด และก็ยิงยาวมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เชื่อว่าหลายคนไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็คงมีความรู้สึกเดียวกันว่า ถ้าเลือกได้ก็ไม่กิน ยอมเสียตังค์ไปซื้อดีกว่า ด้วยหลายเหตุผลว่าไม่กล้ากินเพราะมีคลอรีน หรืออาจจะกลัวไม่สะอาด 
                              
                        ถ้าย้อนไปช่วงน้ำท่วม ที่น้ำเปล่าขาดตลาด จนไม่รู้จะไปเอาน้ำที่ไหนมากินแล้ว หลายฝ่ายก็ออกมาหาวิธีแก้ไข ทำให้เราได้ยินกับประโยคที่ว่า "น้ำประปาดื่มได้" อีกครั้ง แต่สภาพน้ำประปาในกรุงเทพตอนนั้น ทั้งมีสี มีกลิ่น เรียกได้ว่าทำคนใช้จิตตกไปเลยก็มี แค่จะอาบน้ำแปรงฟันก็รู้สึกไม่กล้าใช้แล้ว จะกินลงได้ยังไง แต่เค้าก็ยังยืนยันมาอยู่ดีว่า น้ำที่ผลิตออกมา ได้มาตรฐานองค์การอนามัยโลกเหมือนเดิม (ปัจจุบันสภาพน้ำประปากลับมาเป็นปกติแล้ว) แต่เชื่อว่าหลายคนก็ยังมีคำถามค้างคาใจมานาน ว่าจริงๆ แล้วน้ำประปาที่เค้าว่ามันดื่มได้เนี่ย ดื่มได้จริงมั้ย สะอาดและปลอดภัยจริงๆ รึป่าว
           ถ้าสงสัยกันขนาดนี้ลองไปดูขั้นตอนการผลิตน้ำประปากันเลยดีกว่า

                                 
                                 
               น้ำประปาที่ผลิตจากการประปานครหลวงมีหลายขั้นตอน จนทำให้น้ำที่ออกมาได้มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ขั้นตอนที่ว่านั้น เริ่มตั้งแต่               1.การสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำดิบที่ว่าไม่ใช่ว่าจะไปเอาน้ำเน่าจากคลองที่ไหนมาก็ได้นะ เพราะแหล่งน้ำดิบที่ว่าจะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำที่จัดหาไว้ และจะควบคุมคุณภาพน้ำดิบอยู่เสมอ                2.ขั้นตอนปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ เป็นขั้นตอนการตกตะกอน กำจัดพวกจุลินทรีย์และสิ่งปนเปื้อนออกไป ด้วยการใส่สารส้มและปูนขาว ขั้นตอนนี้จะทำให้ตะกอนเล็กๆ ไม่สามารถเนียนไปกับน้ำได้ น้ำด้านบนจึงเป็นน้ำที่ใสสะอาด ซึ่งสารส้มและปูนขาวยังช่วยปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำดิบได้อีกด้วย               3.กรองอีกครั้ง เอาสิ่งปนเปื้อนที่เล็กมากๆๆๆๆ ออกอีกครั้ง ด้วยทรายกรอง และกรวดกรอง ที่นี้ก็จะได้น้ำที่ใสสะอาดจริงๆ แล้ว                4.ฆ่าเชื้อโรคด้วยการใส่คลอรีน ซึ่งจะใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ ยืนยันมาแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายด้วย หลังจากนั้นก็จะมีการควบคุมคุณภาพน้ำประปาอีกครั้งก่อนแจกจ่ายมาให้พวกเราใช้ ดังนั้นจึงรับรองได้ว่าสะอาด ปลอดภัยแน่ๆ
           
               สรุปแล้วในทุกๆ ขั้นตอนผู้ผลิตใส่ใจในเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยมากทีเดียว คอยตรวจสอบทั้งสารเคมี คลอรีน หรือพวกเชื้อโรคที่อาจจะมาเจือปนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว หุหุ

                


อย่างประเทศสิงคโปร์เป็นอีกประเทศที่น้ำเปล่าแพงมาก ดังนั้นเค้าก็กินน้ำประปากัน ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนคนไทยไม่ค่อยกล้ากินน้ำประปา ปัญหาหลักอย่างนึงคือ น้ำไม่แพง หาซื้อง่าย เลยไม่ลำบากอะไร อีกอย่างนึง คือ กลัวคลอรีน เพราะไม่รู้ว่าจะอันตรายแค่ไหน
              แม้คลอรีนจะเป็นสารที่มีกลิ่นแรงจนน่ากลัว แต่ในกระบวนการผลิตน้ำประปา คลอรีนเป็นสารฆ่าเชื้อที่นิยมใช้ทั่วโลก เพราะฆ่าเชื้อโรคได้ดี ที่สำคัญการผลิตน้ำประปาจะใช้คลอรีนในปริมาณที่น้อยมาก (อย่าไปนึกคลอรีนในสระว่ายน้ำ) ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ค่ะ
                             
               แต่ถ้าใครกลัวเรื่องกลิ่นแรงๆ ก็แก้ไขได้ง่ายสุด แค่เอาไปต้มให้เดือด หรือใช้เครื่องกรองก็ได้ แต่ถ้าใครยังคิดว่ายังยุ่งยากอยู่ ก็เปิดออกจากก๊อกแล้วตั้งทิ้งไว้ 15 นาที แค่นี้กลิ่นคลอรีนก็หายไปแล้ว สามารถดื่มได้เหมือนน้ำเปล่าปกติเลยค่ะ เริ่ดมาก
                                         

               เห็นขั้นตอนการผลิตน้ำประปาขนาดนี้แล้วก็เชื่อแล้วล่ะค่ะว่า "น้ำประปาดื่มได้" จริงๆ เดี๋ยวไปบอกแม่ให้รองน้ำมากินมั่ง จะได้ประหยัดตังค์ที่บ้าน ฮ่าๆ     แต่เพื่อนๆในโพสท์จังเนี่ย  คิดอย่างไงกะน้ำประปาบ้านเรากันมั่ง   เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
                                      

ที่มา/http://board.postjung.com/603691.html

เปลือกผลไม้ ไม่ไร้ค่า

เปลือกผลไม้ ไม่ไร้ค่า

                                                                 
                            เคยบ้างไหม หลายๆ ต่อหลายครั้งเวลาที่เรารับประทานผลไม้แล้วนึกเสียดายเปลือก แหม..ก็เป็นออกบ่อยไป จะกินก็กินไม่ได้ ครั้นจะทิ้งก็กลับนึกเสียดายซะงั้น วันนี้เลยมีข้อแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเปลือกผลไม้ที่คิดว่าไร้ค่ามาฝากกันค่ะ 
                         ในบ้านเรามีผลไม้หลากหลายชนิด ที่เราไม่สามารถหรืออาจจะไม่นิยมกินเปลือก อาทิเช่น ส้ม สับปะรด กล้วย หรือแม้แต่ทุเรียน (อันนี้ใครกินได้ทั้งเปลือกขอคาราวะ) อันที่จริง ใช่ว่ากินไม่ได้แล้วจะหมดประโยชน์เลยซะทีเดียวนะคะ อีกทั้งในปัจจุบันข้าวของ อาหาร การกินทุกอย่างล้วนราคาแพง เพราะฉะนั้นเราจึงควรใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด จะเรียกว่า "งก" ว่า "ขี้เหนียว" คงไม่ได้หรอกนะคะ แต่เราควรจะหาประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุดเท่านั้นเองค่ะ ดังนั้นหากเราจะไม่ทิ้งเปลือกผลไม้เหล่านี้แล้ว ลองมาดูกันดีกว่าเราจะสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง เริ่มจาก

                                
เปลือกกล้วย
มีคุณสมบัติทำให้ผิวชุ่มชื่น เพียงคุณใช้เปลือกกล้วยล้างน้ำให้สะอาดแล้วใช้ถูกับมือ ข้อเท้า ขา หรือใบหน้าก็ได้ นอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งกร้านแล้วยังทำให้ผิวนุ่ม นอกจากนั้นเปลือกล้วยน้ำว้ายังสามารถใช้แทนน้ำยาขัดรองเท้าได้อีกด้วย

                              
เปลือกทุเรียน
เวลาที่กินทุเรียนแล้วไม่รู้จะเอาเปลือกไปไว้ไหน ขอแนะนำให้คุณเอาไปตากให้แห้งใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านไม้ได้ หรือเวลาที่คุณกินทุเรียนแล้วเกิดอาการร้อนใน ขอแนะนำให้ลองดื่มน้ำที่รินใส่เปลือกทุเรียนผสมกับเกลือเล็กน้อย อาการก็จะบรรเทา ยิ่งไปกว่านั้นน้ำที่ใส่ในเปลือกทุเรียนหากเอามาล้างมือล้างปากก็สามารถแก้กลิ่นทุเรียนที่ติดอยู่ได้อีกด้วย

                                         

เปลือกส้มโอ
นอกจากจะเอาไปทำส้มโอเชื่อมและยาดมส้มโอมือแล้ว เปลือกส้มโอยังสามารถใช้ขัดภาชนะที่ทำจากอะลูมิเนียมให้มีความใสและมันวาวได้อีกด้วย เพียงนำเปลือกส้มโอมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะนำเปลือกส้มโอที่ต้มแล้วมาขัดถูภาชนะพร้อมกับสบู่ แค่นี้เครื่องครัวของคุณก็จะแวววาวสดใสโดยไม่ต้องเปลืองตังค์ไปซื้อน้ำยาราคาแพง

                                        
เปลือกสับปะรด 
สามารถนำมาใช้กับภาชนะทองเหลืองได้เพียงเอาภาชนะพวกทองเหลืองหรือเครื่องเงินลงแช่ในน้ำใส่เปลือกสับปะรดลงไปให้มิดทิ้งไว้สักหนึ่งคืนก่อนที่จะนำมาล้างให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดา เครื่องเงินและทองเหลืองของคุณก็จะสดใสงามราวกับของใหม่

                                                   
เปลือกส้ม
บ้านใครมียุงชุมก็ขอแนะนำให้ใช้ เปลือกส้ม กำจัดยุง หลังจากที่กินส้มเขียวหวานเรียบร้อยแล้ว เปลือกส้มเขียวหวานอย่าทิ้ง นำไปตากให้แห้งสักแดดสองแดด นำมาสุมไฟไล่ยุงได้เป็นอย่างดีไม่มีสารตกค้าง

ในส่วนของนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ทำวิจัยไว้ว่า
                                                                   
เปลือกแอปเปิ้ล
เชื่อว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง ควอตช์ เลยทีเดียว

                                                                 
เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว
                                           
ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (เป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ
แหม ... เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ต่อไปเวลารับประทานผลไม้ ก็อย่าทิ้งเปลือกให้ไร้ค่า เก็บกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตั้งเยอะแหนะ แถมยังช่วยประหยัดอีกต่างหาก แต่ขอแนะนำเพิ่มเติมนิดนึงว่า สำหรับเปลือกทุเรียนนั้นเค้าไม่ได้มีไว้ใช้ทำร้ายกันนะค่ะ อย่าเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

ที่มา/ http://board.postjung.com/603674.html

10+1 สุดยอดสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม

10. GloFish
ปลาม้าลายเรืองแสงเป็น ปลาที่ไม่ได้พบเห็นในธรรมชาติ(แน่นอน) เพราะมันเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม โดยนำยีนจากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนที่เรืองแสงได้เองตามธรรมชาติใน ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย จึงทำให้ปลาม้าลายซึ่งปกติมีลักษณะใสและไม่เรืองแสง เปลี่ยนแปลงลักษณะกลายไปเป็นปลาม้าลายที่เรืองแสงได้ เช่นเดียวกับ แมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลที่เป็นเจ้าของดีเอ็นเอนั้นๆ โดยการทดลองนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย แห่งชาติสิงคโปร์นำโดย ดร. ซีหยวน กง (Dr. Zhiyuan Gong) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาม้าลายเรืองแสงเหล่านี้เป็นตัวสภาพ ความเป็นพิษของแหล่งน้ำ
ปัจจุบันมีการซื้อขายปลาม้าลาย เรืองแสงสีแดงในชื่อ โกลฟิช (GloFish) เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2004โดยก่อนหน้านั้น มีการทดลองเพื่อตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนในที่สุด องค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration, FDA) ของประเทศสหรัฐฯ ก็อนุญาตให้จำหน่ายได้ โดยระบุชัดเจนว่า "ไม่มีหลัก ฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่ อย่างใด"
9. Grapple
ผลไม้นี้ก็ไม่ได้ พบเห็นในธรรมชาติ(อีกล่ะ) มาจากการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยดัดแปลงพันธ์กรรมระหว่างแอปเปิ้ลและองุ่น ทำให้เกิดผลไม้ชนิดใหม่ที่ผลเหมือนแอปเปิ้ลแต่พื้นผิวเหมือนองุ่นและรสชาติ องุ่น เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงมาก และว่ากันว่าเป็นของกินที่ถูกส่งไปช่วยโลกที่สอง ด้วยนะ ภายใต้ชื่อสินค้าว่า Grapple ซึ่ง เป็นแบรนด์ที่จดทะเบียนเชิงพาณิชย์ของฟูจิ(คงไม่ต้องถามว่าประเทศใดคิดค้น) มีอีกชื่อว่าแอปเปิ้ลกาล่า ซึ่งสาเหตุที่นำองุ่นมาใส่ตัวแอปเปิ้ลเพื่อทำให้แอปเปิ้ลมีน้ำที่มากช่วย เก็บรักษาราชาติและเนื้อได้เป้นอย่างดี
8. Graisin
ลูกเกดยักษ์ที่ได้ จากการดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ถูกผลิตโดยสถาบันพันธุศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชอบผลไม้ใหญ่ๆ ล่าสุดนิยมผลไม้และอาหารจากตะวันตกอย่างลูกเกด เนื้อและรสชาติเหมือนกับของพ่อแม่และสามารถกินดิบๆ หรือหั่นบางๆ กินหลายมื้อได้
7.Rubber Cork Tree
เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมโดนผสม ระหว่างไม้ก๊อกและยางพารา เพื่อให้เกิดไม้ที่ใช้ทำก๊อกไวน์ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม นั้นคือมีความพรุน, คงทน เปลือกไม้มีสีสันสวยงาม นอกจากนั้นพืชตัดแต่งพันธุกรรมถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในหลายๆ วัตถุประสงค์ ได้แก่ความต้านทานต่อแมลง, ยากำจัดวัชพืชและสภาพสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย ซึ่งผู้ก่อตั้งแชมเปญ Bollinger บอกว่าก็อกแบบใหม่นี้จะ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ผลิตไวน์มาเลย"(จาก รูปจะเห็นว่ามันไม่มีเปลือกไม้เลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องลอกเปลือกให้เสียเนื้อเยื่อแต่อย่างใด)
6.Umbuku Lizard
เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่มี เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ ในการดัดแปลงพันธ์กรรม แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถทำได้ โดยพันธุกรรมในซิมบับเว ได้จัดการดัดแปลงให้ตุ๊กแกสัตว์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็กและหายากในแอฟริกา โดยทำให้มันบินได้ แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Umbuku Lizard(ปล. แปลได้แค่นี้แหละครับ)
5.Paper Tree
ต้นไม้กระดาษเป็นต้นไม้ที่ดัดแปลง พันธุกรรมเพื่อมีวัตถุ ประสงค์การลดต้นทุนการผลิตและการสูญเสียทรัพย์กรต้นไม้ในอุตสาหกรรม ผลิตกระดาษ เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทสวิสได้แลเห็นความสำคัญ จึงได้ดัดแปลงโดยต้นไม้นี้จะออกเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ และเมื่อนำไปตากแห้ง คุณสมบัติของมันจะเหมือนกระดาษที่ใช้เขียนมาก ในภาพข้างบนเราจะเห็นพนักงานบริษัทถือใบไม้แห้งของต้นกระดาษทาบต้นไม้กระดาษ อยู่
4.Dolion
มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ที่ สุดของวิทยาศาสตร์ที่ สามารถนำ DNA มาใช้ได้อย่างเหลือเชื่อ Dolion เป็นการ ดัดแปลงพันธุกรรมระหว่างสิงโตและสุนัข จนได้ผลิตผลสัตว์เหลือเชื่อนี้(บนโลกมีสัตว์ชนิดนี้แค่สามตัวและมันอยู่ใน ห้องปฏิบัติการ ภาพข้างบนมีชื่อว่า Rex ซึ่งเป็นตัว แรก) และข้อมูลของมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่(มันจะดุเหมือนสิงโตไหมนี้)
3.Tiny Piney

เป็นสน ขนาดเล็ก โตเต็มที่สูงเพียง 2 เซนติเมตร ถูกดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วและใช้กลิ่นต้นสนมาใช้ อุตสาหกรรมน้ำหอม โดยต้นแบบสนเล็กๆ นี้มีอยู่มากมายอย่างมหาศาลที่นิยมบริโภคในประเทศปาปัวนิวกีนีโดยจุ่มลงไป ทอดกินกับกะทิและหอย ส่วน Tiny Piney เป็นชื่อเครื่องหมายการค้า
2. Fern Spider
แมงมุม เฟิร์นไม่ซ้ำกันในรายการที่เอาสัตว์และพืชมารวมกัน เป็นการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยใช้ แมงมุมพันธุ์ในอิตาลีชื่อ Wolf spider (Lycosa tarantula) และ ponga fern (Cyathea dealbata) วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์มหัศจรรย์นี้คือการศึกษาอัตราการรอดของแมงมุมใน ธรรมชาติ การทดลองนี้เป็นของ ในนิวซีแลนด์ แต่ผลการศึกษายังไม่เผยแพร่
1.Lemurat
ความ มั่งคั่งของคนรวยชาวจีนกำลังเพิ่มขึ้น พวกเขากำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แปลกใหม่เอาไว้โอ้อวดเงินทองของพวกเขา และนั้นเองจึงเป้นที่มาของบรัษัทวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จีนในการ แข่งขันผลิตสัตว์ข้ามสายพันธุ์ให้ประสบผลสำเร็ขมากที่สุด(เพื่อการเงิน) จนที่ที่สุดพวกเขาก็ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมระหว่างพวกลิงและแมว ทำให้ได้สัตว์ที่มีขนนุ่มหลายสีของแมว และหางลายและตาเหลืองทึ่มักพบในสัตว์จำพวกลิง โดยทั่วไปมันไม่อันตราย และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Prolos Fira
0.Cats glow
แมวเรืองแสงเกิดจาก ดัดแปลงพันธุกรรมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเกาหลีใต้ ทำให้แมวสามารถเรืองแสงได้ในความมืดเมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต โดย กง อิลคุน ผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติยองซัง ได้สร้างแมวขึ้นมา 3 ตัว แมวเหล่านี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในส่วนของยีนที่ผลิตโปรตีนฟลูออเรสเซนต์ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการโคลนแมวที่ถูกดัดแปลงยีนดังกล่าวตอนแรกพวกเขา ได้แมว 3 ตัว แต่ตอนนี้เหลือรอดชีวิตเพียง 2 ตัว และเติบโตจนมีน้ำหนัก 3 กก. และ 3.5 กก. โดยวัตถุประสงค์ใน การทดลองนี้ก็เพื่อนำ เทคโนโลยีไปใช้ในการโคลน แมวที่มียีนผิดปกติ รวมทั้งมี ประโยชน์ในการพัฒนาการรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ หรือจะนำมาใช้ในการโคลน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น เสือ เสือดาว และแมวป่าก็ยังได้

ที่มา/http://www.postjung.com/

10อันดับ สัตว์ที่เร็วที่สุดในโลก

10. กิ้งก่าบาซิลิส
 
วิ่งด้วยความเร็ว 11 กม./ ชั่วโมง
จนสามารถวิ่งบนน้ำได้ ราวกับจิ้งโจ้น้ำ


9. ไส้เดือน


สามารถวิ่งได้โดยไม่ใช่ขา ด้วยความเร็ว15 เมตร / ชั่วโมง
ซึ่งมันจะใช้ขนอันละเอียดอ่อนของมันเกาะแล้วเคลื่อนที่ไป
แล้วยังต้องคลานไปไชดินไปตลอดชีวิตของมัน



8. กระต่ายป่า
 
วิ่ง[กระโดด]ด้วยความเร็ว 72 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ซึ่งมีความเร็วพอๆกับม้าแข่งในดาร์บี้เลยทีเดียว


7. กุ้งแมนบิส

 
เป็นเสือปืนไวขนานแท้ในท้องสมุทร
เนื่องจากสามารถเคลื่อนไหวก้ามอันทรงพลังของมัน
จนเกิดแรงอัดราวกับปืนอัดลมได้


6. นกกระจอกเทศ

เป็นสัตว์ 2 ขาที่วิ่งเร็วที่สุด วิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโล/ชั่วโมง
ซึ่งมีเร็วพอๆกับ การปั่นจักรยานของนักกีฬาโอลิมปิก

5. ฉลามมาร์โก
 
สามารถว่ายน้ำได้ด้วยความเร็ว 48 กิโล / ชั่วโมง
หรือพูดง่ายๆคือ เร็วเป็น 10 เท่าของนักว่ายน้ำโอลิมปิก



4. หอยทากรูปกรวย
 
สามารถใช้เข็มพิษมรณะที่อยู่ตามร่างกาย
คล้ายหนวดของมันแทง ปลิดชีพได้เร็วที่สุด
เพียง 0.089 วิเท่านั้น และเคยมีผู้โชคร้าย
โดนมันใช้เข็มแทงตายภายใน 4 วินาที



3. เสือชีต้าร์

 
เป็นสัตว์ 4 ขาที่วิ่งได้เร็วที่สุด
สามารถเร่งความเร็วได้ 100 กิโลเมตรได้
ภายใน 4 วินาที และสามารถวิ่งได้เร็วถึง
115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


2. เหยี่ยวฟิรีกรีน
 
เป็นสัตว์ปีกที่เคลื่อนที่ได้ไวที่สุด
ด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และยังเป็นสัตว์ปีกที่มีสายตาที่เฉียบที่สุดในโลก
คือสามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งกระต่าย ขณะที่บินเล่นอยู่



1. ด้วงเสือ
 
เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ ได้เร็วที่สุดในโลก
วิ่งได้ 8 กิโล/ชั่วโมง หรือ ถ้ามันตัวใหญ่เท่ากับคน
ก็จะสามารถวิ่งได้เร็ว 494 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยเวลามันวิ่งจะต้องใช้หนวดจับภาพแทนตา
เนื่องจาก เวลามันวิ่ง มันวิ่งเร็วซะจนลืมตาไม่ทัน

ที่มา/http://board.postjung.com/561150.html

ยุง จอมกวน

"ยุง" รู้ได้ยังไงว่าเรามีเลือดให้มันกิน

                                                
เคยสงสัยมั้ยคะว่า สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่วงจรชีวิตอยู่ได้แค่ประมาณ 1 อาทิตย์ อย่าง "ยุง" ทำไมถึงร้ายนัก!! และทำไมมันถึงต้องกินเลือดคน แล้วรู้ได้ยังไง ว่าเรามีเลือด  และทำไม.... สารพัดคำถามเกี่ยวกับยุง วันนี้เราเอาคำตอบมาบอกค่ะ
  ยุง เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีอยู่ทุกซอกทุกมุม โดยเฉพาะกลางคืนเหมือนได้ออกมาปาร์ตี้ ใครไม่เคยโดนกัดถือว่าแปลกมาก (แต่ถ้าใครเคยโดนกัดจนขาลายมาถึงทุกวันนี้ถือว่าไม่แปลก) ซึ่งยุงนั้นมีหลายร้อยชนิดเลยค่ะน้องๆ แต่ที่มีเยอะในประเทศไทยก็คงไม่พ้น ยุงรำคาญ รองมาก็คือ ยุงลาย นอกจากนั้นก็ยังมียุงพาหะนำโรคชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด ยุงพวกนี้จะกินเลือดเป็นอาหารค่ะ ซึ่งเหยื่อของยุงพวกนี้ก็คือ คน และสัตว์ที่มีผิวหนังไม่แข็งเกินไป เพราะฉะนั้นน้องหมา น้องแมวที่บ้านเรา โดนกัดด้วยแน่นอน ส่วนคนนี่ กางเกงยีนส์ยังกัดทะลุมาแล้ว เรียกว่าปากแหลมจริงๆ

               แต่ก็ไม่ใช่ว่ายุงทุกตัวจะกัดเรานะคะ จะมีแค่ยุงตัวเมียเท่านั้นที่กัด เพราะต้องใช้โปรตีนจากเลือด ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการฟักไข่ หมายความว่า ถ้าไม่มีเลือดก็ออกไข่ไม่ได้ และในทางตรงกันข้ามยิ่งดูดเลือดได้เยอะเท่าไหร่ก็จะยิ่งวางไข่ได้มากเท่านั้น โดยอาจวางไข่ได้มากที่สุดถึง 100 - 400 ฟองในครั้งเดียว ถ้าจะออกมากันเยอะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะขยายพันธุ์หรือจะยึดครองโลกกันแน่ ส่วนยุงตัวผู้ จะกินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ไม่ดูดเลือดค่ะ อย่างไรก็ตามถ้ายุงตัวเมียไมได้ต้องการโปรตีนเพื่อวางไข่ แค่กินน้ำหวานก็ให้พลังงานได้เหมือนกัน

                                              
เชื่อว่าหลายคนคงเคยแซวเพื่อนๆ เวลาโดนยุงกัดว่า เพราะ "แกตัวเหม็น ยุงก็เลยกัด" ส่วนเพื่อนก็จะเถียงกลับมาว่า "เพราะตัวหอมหรอก ยุงก็เลยกัด ยุงไม่กัดคนตัวเหม็น" ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้จะบอกว่าใครถูกใครผิดหรอกค่ะ  แต่จะมาเฉลยว่ายุงเลือกกินเลือดคนคนนึงนั้น มีปัจจัยอะไรบ้าง

              อย่างแรกเลยความร้อนของร่างกาย ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมก็ประมาณ 37 องศา เท่ากับร่างกายของมนุษย์พอดี นอกจากนี้อีกปัจจัยนึง ก็คือ กลิ่นเหงื่อของคน รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่คนหายใจออกมา เพราะยุงเป็นสัตว์ที่มีระบบอัจฉริยะ มีตัวรับสัญญาณทั้งทางเคมีที่รับรู้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และรับในระยะทางที่ไกลถึง 100 ฟุต, สัญญาณจับความร้อน ดังนั้นเมื่อเจอสัตว์เลือดอุ่นที่ไหน สัญญาณนี้ทำงานปุ๊บ ยุงก็กางปีกบินไปหาเหยื่อได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณรับภาพ จึงมองเห็นในที่มืดได้ดี ลักษณะเฉพาะพวกนี้ถือเป็นวิวัฒนาการของยุง ที่ปรับ เปลี่ยนตามสภาพแวดล้อม เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ส่วนที่ไม่รอดน่าจะเป็นคนนี่แหละ ><

                                                             
หลังจากที่มันได้เป้าหมายแล้ว มันก็จะค่อยๆ เอาปากเจาะไปที่ผิวหนังของเรา โดยที่เราจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เริ่มรู้สึกคัน แต่ยุงบินหายไปแล้ว อาการคันหลังโดนยุงกัดนั้นมาจากสารเคมีชนิดนึงในน้ำลายของยุง ซึ่งคุณสมบัติของสารตัวนี้จะทำให้เลือดไม่แข็งตัว ยุงก็จะดูดเลือดเราได้ง่ายขึ้น เรียกว่าดูดกันเพลิน แต่ถ้าตัวไหนเพลินเกินจนพุงป่องแล้วเราไหวตัวทันละก็ มีหวังโดนตบแปะแน่นอน ซึ่งเจ้าสารที่ว่ายังทำให้เกิดอาการบวม แดง คัน แต่จะเป็นมากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับภูมิของแต่ละคน
                                                               
 เรียกว่าเป็นสัตว์ที่เกิดง่าย โตง่าย ตายง่าย แต่ก็มีประชากรล้นโลก แถมยังมีพิษสงร้ายแรง ไม่ใช่แค่กัดเจ็บ แต่บางชนิดยังเป็นพาหะนำโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ทั้ง ไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย โรคเท้าช้าง เป็นต้น เพราะฉะนั้น ก็ควรดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มืด ยุงชุมและอย่าปล่อยให้มีน้ำขังบริเวณบ้านนะคะ
   ส่วนอันนี้แถมมาให้ค่ะ






ที่มา/http://www.postjung.com/

ผีเสื้อ



ผีเสื้อจัดเป็นสัตว์ในไฟลัมอาร์โทร์โปดา (Phylum Arthropoda) เช่นเดียวกับแมลง ทั่วๆ ไป ผีเสื้ออยู่ในอันดับเลพิดอปเทอรา (Orderlepidoptera) ของชันอินเซกตา(Class Insecta) แมลงที่อยู่ในอันดับนี้มีลักษณเด่นตรงที่ปีกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเล็กๆ เรียงซ้อนกัน คำว่าเลพิดอปเทอรา (Lepidoptera) มาจากคำในภาษากรีก 2 คำคือ เลพิส (Iepis) แปลว่าปีก นั่นก็คือ ปีก,เกล็ด หรือ ปีกมีเกล็ด


ผีเสื้อ
         ทำไมเราจึงเรียกแมลงปีกบางสีสดสวยนี้ว่า ผีเสื้อ สันนิษฐานกันว่าเนื่องจากปีกของผีเสื้อมีสีสันสดใสเหมือนกับสีของเสื้อผ้า ที่คนเราสวมใส่ และการที่ผีเสื้อบินร่อนไปมา ทำให้คนโบราณคิดกันไปว่ามีผีไปสิงอยู่ในตัวมัน แม้นแต่ในปัจจุบัน ชาวชนบทบางแห่งก็ยังเรียกผีเสื้อว่า แมลงผี บางท่านก็สันนิฐานว่ามาจาก ผีเชื้อ เนื่องจากคติทางอีสานเชื่อว่าการที่มีผีเชื้อบินมาเป็นกลุ่มจำนวนมากมายจะ เกิดโรคระบาด จึงทำให้เข้าใจกันว่าผีเสื้อเป็นผีเชื้อโรค สำหรับทางภาคเหนือเรียกผีเสื้อว่า แมงกะป้อหรือแมงกะเบี้ย ชื่อเรียกในภาษาอื่น มีเช่น ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่าโจโจ้ ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่าหู่เตี๊ยบ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Butterfly แต่ไม่ว่าแมลงปีกบางที่ประดับด้วยเกล็ดหลากสีสันนี้จะมีชื่อเรียกอย่างไรก็ ตาม ผู้คนต่างยอมรับว่าผีเสื้อคือหนึ่งในหมู่แมลงที่สร้างความสวยงามให้แก่ ธรรมชาติ

 เกล็ดของผีเสื้อ



         เกล็ดปีกของผีเสื้อมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ เกล็ดที่ไม่มีเม็ดสีแต่เป็นสันนูนขึ้นมา เมื่อสะท้อนแสงจะเกิดสีรุ้งแวววาว และเกล็ดที่มีเม็ดสีอยู่ภายใน เม็ดสีภายในเกล็ดนี้เกิดได้ทั้งจากสารเคมีที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเองและสารเคมี ที่แปรรูปจากสารอาหารที่หนอนผีเสื้อกินเข้าไป เกล็ดสีเมื่อมองเกล็ดด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นเพียงฝุ่นสี และบอบบางมากเพียงสัมผัสด้วยปลายนิ้วเบา ๆ ก็จะหลุดติดมือมาทันที
    
สารที่ทำให้เกิดเม็ดสีต่าง ๆ ในเกล็ดคือ
         1. เทอรีน (pterrin) เป็นสารที่แปรรูปมาจากกรดยูริก ในวงศ์ผีเสื้อขาหน้าพู่ มีสีส้มและสีแดง สีแดงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศจะซีดลงเรื่อย ๆ
         2. ฟลาโวน (flavone) เป็นสารที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้รับมาจากพืชที่กินเข้าไปในระยะตัวหนอน ทำให้มีสีขาวจนถึงสีเหลือง พบในวงศ์ผีเสื้อสีตาลและวงศ์ผีเสื้อบินเร็วบางชนิด
         3. เมลานิน (melanin) มีสีดำเป็นเม็ดสีแบบเดียวกับคนและสัตว์ทั่วไป ส่วนสีเขียวและสีม่วงฟ้าเกิดจากเกล็ดที่ไม่มีสี เมื่อแสงส่องผ่านเยื่อบาง ๆ หลายชั้นของแผ่นปีกจะสะท้อนออกเป็นสี
จริงๆๆแล้วผมอยากให้เพื่อนๆๆดูอะไรๆๆที่มันสบายตาก่อนนอน จึงสร้างกระทู้นี้ขึ้นมา หวังว่าทุกคนคงหลับฝันดีนะครับ คืนนี้ราตรีสวัสดิืครับผม        
 
ที่มา/   http://www.postjung.com/
 
 
 

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กระบองเพรช

ชื่อสามัญ                                Mila 

ชื่อวิทยาศาสตร์                        Mila sp. 
ตระกูล                                    CACTACEAE
ลักษณะทั่วไป
ุ์กระบองเพชรเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-12 ฟุต ลำต้นมีสีเขียวหรือเขียวคล้ำมีขนหรือหนามรอบต้นหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ลักษณะต้นเป็นเหลี่ยมรูปทรงกระบอกรูปรงกลม หรือแล้วแต่ชนิดพันธุ์ใบคือส่วนของลำต้นที่ทำหน้าที่แทนใบหรือบางชนิดก็มีใบแบนกลมหน้าใหญ่ดอกสีแดงเหลืองขาวลักษณะดอกขนาดดอกขึ้นกับชนิดพันธุ์
การเป็นมงคล
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกระบอกเพชรไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดโชคลาภเพราะถ้าผู้ใดปลูกต้นกระบองเพชรให้
เกิดดอกได้มากและสวยงามแสดงว่าผู้นั้นจะมีโชคลาภดังนั้นคนไทยโบราณถือว่าเป็นไม้เสี่ยงทายชนิดหนึ่งนอกจากนี้ยังเชื่อ 
อีกว่ายังสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้อีกด้วยเพราะต้นกระบองเพชรมีหนามและความคงทนแข็งแรงดังนั้นคนไทยโบ 
ราณจึงนิยมปลูกตามแนวรั้วบ้าน เพื่เเป็นที่กลัวเกรงของศัตรูภายนอก
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นกระบองเพชรไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์
เพราะโบราณเชื่อว่ากรปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์
การปลูก
การปลูกแบ่งเป็น 2 วิธี
1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในอาคารและภายนอกอาคาร ใช้กระถางทรงและขนาดต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์คือตั้งแต่
ขนาด4-10นิ้วใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:ทรายหรือดินร่วนอัตรา1:1ผสมดินปลูกการเปลี่ยนกระถางแล้วแต่ความเหมาะสมของชนิด
พันธุ์และผู้ปลูก แต่ถ้าจะให้เจริญสวยงามต้องคบคุมเรื่องปุ๋ย และน้ำให้ถูกวิธี

2. การปลูกในแปลงปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน แต่จะต้องเป็นชนิดพันธุ์ ที่ค่อนข้างใหญ่ แข็งแรง ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30
เซนติเมตร    ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วนอัตรา 1:3 ผสมดินปลูก
การดูแล
แสง                           ต้องการแสงแดดน้อยในร่ม จนถึงแสงแดดจัดกลางแจ้ง

น้ำ                             ต้องการปริมาณน้ำน้อย ทนต่อความแห้งแล้งให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง หรือแล้วแต่ความเหมาะสม

ดิน                            ดินร่วนปนทราย ความชื้นปานกลาง

ปุ๋ย                            ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 5-6 ครั้ง

การขยายพันธ์              การใช้เมล็ด การปักชำ

วิธีที่นิยมและได้ผลดี       การปักชำ

โรค                          โรครากเน่า (Sclerotium root rot)

อาการ                        ลำต้นเหี่ยว และแคระแกร็น

การป้องกัน                ควบคุมการให้น้ำ และความชื้นอย่างเหมาะสม

การรักษา                   ตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้งหรือปลูกใหม่


                                              

ที่มา/http://www.the-than.com/FLower/F19.html